การซื้อรถ ( ด้วยตัวเอง)
เตรียมพร้อม : รายละเอียดเกี่ยวกับรถ
หลังจากตัดสินใจว่าจะซื้อรถด้วยตัวเองแล้ว
ดิฉันได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องยากสำหรับดิฉันและผลจากการศึกษานี้ ทำให้ดิฉันทราบว่า ควรทำอย่างไรหากต้องการรถราคายุติธรรม?
หรือสามารถสร้างกำไรในการต่อรองรถใช้แล้วได้อย่างไร?
ดิฉันได้เรียนรู้ถึงหลักจิตวิทยาที่เป็นผู้ชนะในการซื้อรถราคายุติธรรมและเป็นลูกค้าที่มีคุณค่าในเวลาเดียวกันไม่ว่าคุณจะซื้อรถใหม่หรือรถใช้แล้ว เคล็ดลับอย่างหนึ่งของผู้ขายที่คุณต้องทำความเข้าใจคือ ผู้ขายทุกคนย่อมต้องการทำการค้าที่ได้กำไรสูงสุด หลายครั้งที่ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่า เพียงเพราะเขาสามารถจ่ายเงินจำนวนมาก สำหรับที่โปรดปราน โดยคิดว่าเป็นราคาซื้อที่ยุติธรรมและถูกต้องแล้ว
ทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากความไม่เข้าใจหรืออาจเป็นเพราะผู้ขายไม่ให้รายละเอียดที่ชัดเจน
ดังนั้นกว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ตกกระไดพลอยโจนไปซะแล้ว
ดังนั้นทราบไว้เถอะว่าคุณจะสามารถประหยัดเงินได้หลายหมื่นบาท หากเข้าใจวิธีการซื้อที่ถูกต้อง
เป็นเรื่องแน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีสถานการณ์ซึ่งมีผลต่อการติดต่อซื้อขาย และราคาต่างกัน เช่น
**
รถคันไหนเป็นเป้าหมายในการพิจารณาของคุณ
**
ความยืดหยุ่นในทางเลือกของคุณ
** เวลาที่คุณเข้าไปในร้าน
** ปีที่คุณซื้อ
** เดือนที่คุณซื้อ
** สภาพตลาด
** รายการสินค้าของผู้ขาย
** สถานะทางการเงิน และประวัติทางการเงินของคุณ
** สิ่งที่ผู้ขายทราบเกี่ยวกับความต้องการของคุณ
**
คุณทำการซื้อขายกับผู้ขายกับผู้ขายที่ดีหรือไม่?
การเจรจาซื้อขายและราคาส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับวิธีการจ่ายเงิน และการจัดการทางการเงินของคุณ
โดยทั่วไปผู้ขายจะแยกประเภทผู้ซื้อด้วยเกณฑ์พื้นฐาน ดังนี้
1.
คุณจะซื้อรถใหม่หรือรถใช้แล้ว?
2.
คุณจะจ่ายเงินสดหรือเป็นเงินผ่อน?
สองข้อนี้
คือ ข้อมูลที่ผู้ขายประเมินคุณเพื่อกำไร
จากการค้าให้มากที่สุด
เช่นกันถ้าคุณต้องการซื้อรถในราคาถูกที่สุด คุณต้องรู้จักประเมินผู้ขายบ้าง เพราะการประเมินผู้ขายจะมีผลไปถึงการเจรจาต่อรองเพื่อซื้อรถในราคาถูกที่สุดของคุณด้วย
เริ่มต้นประเมินผู้ขายจากขั้นแรกคือ คุณกำลังจะซื้อรถจากใคร?
เซลแมน- เซลแมน
จะได้รับการอบรมมาให้ตอบคำถามที่คุณต้องการจนเกิดความเข้าใจ และมั่นใจในรถคันนั้น ๆ
และเพราะการซื้อรถขายแต่ละครั้งมีความสำคัญสำหรับพวกเขามาก ดังนั้นเมื่อคุณติดต่อซื้อขายกับเซลแมน ควรถามตัวเองว่า “ คุณควรจะเชื่อคำแนะนำของพวกเขา
หรือตัดสินใจ
ด้วยตัวเอง “
ผู้จัดการฝ่ายขาย - เมื่อราคาที่ตกลงซื้อขายกันไม่ลงตัว เซลแมนจะพาคุณไปพบกับผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายขายจะสามารถลดราคาให้คุณได้มากกว่าเซลแมน เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจมากขึ้น พวกเขาจะมีการโน้มน้าวที่น่าฟังขึ้น แต่อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจยืนยันราคาที่คุณต้องการและหันหลังกลับถ้าไม่ยอม
( พวกเขาจะโทรหา และนัดคุณอีกครั้ง )
ผู้จัดการสาขา - จะสามารถลดราคาให้คุณให้มากกว่าผู้จัดการฝ่ายขาย
นอกจากนั้นยังสามารถขยายเวลารับประกันบริการแถม หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ
ที่คุณจะได้รับจากการค้า และสำคัญคุณจะได้รับราคาที่ต้องการ
เซลแมนขายรถเป็นผู้มีความอดทน มีความสามารถในการเจรจาซื้อขายสูง รายได้จากงานของเขาขึ้นอยู่กับค่าคอมมิชชั่นในเงินจำนวนมากของผู้ซื้อรถ ด้วยเหตุนี้
จึงทำให้ในการซื้อรถเกือบทุกครั้งมีตำแหน่งผู้ชนะ / ผู้แพ้ ตายตัวเสมอ
นั่นคือ เขาชนะและเราแพ้
หน้าที่ของคุณคือ
อย่าให้เซลล์แมนเป็นผู้ชนะ
คุณสามารถทำได้โดยไม่ต้องเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายรถเลย เพียงใช้เทคนิคง่าย ๆ
ที่ได้จัดเตรียมไว้ในบทนี้
สำหรับการซื้อรถด้วยตัวเอง
อ่านออกเดินทางไปยังร้าน
ที่คุณหมายตาไว้
จากกลวิธีการเจรจาซื้อขายของคุณ จะทำให้ผู้ขายเห็นด้วยกับราคาที่คุณเสนอ และยอมรับกำไรน้อยลงในที่สุด ดังนั้นกุญแจสำหรับการค้าของคุณคือ
ต้องควบคุมความคิดของเซลแมนให้ยอมรับราคาที่คุณเสนอให้ได้
คุณจะตัดสินใจอย่างไรว่ารถ คันไหนเป็นแบบที่คุณต้องการ ?
ก่อนซื้อรถคุณต้องตัดสินใจว่า รถแบบไหนคือแบบทที่คุณมองหา และราคาที่ถูกต้องในตลาด สองสิ่งนี้คือ
ข้อมูลสำคัญที่คุณต้องศึกษาก่อนเจรจาซื้อขาย
การตัดสินใจว่ารถชนิดไหนที่คุณกำลังมองหา
ก่อนเข้าไปยังศูนย์บริการซึ่งมีรถมากมายให้คุณเลือก สิ่งที่คุณต้องพิจารณาถึงคือ
1)
คุณสามารถซื้อได้ในราคาเท่าไร?
2)
คุณต้องการรถสำหรับกี่คน?
3)
คุณต้องการรถที่บรรทุกได้หรือมีประตูหลังหรือไม่?
4)
คุณต้องการรถกี่ประตู?
5)
คุณต้องการใช้รถในเมือง
หรือใช้ทางออกต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่?
6)
อะไรคือความปลอดภัยที่คุณต้องการ?
7)
คุณชอบเกียร์อัตโนมัติหรือรถเกียร์ธรรมดา?
8)
อุปกรณ์ อื่น ๆ ที่สำคัญในรถ
(ล็อกประตู หน้าต่างไฟฟ้า พวงมาลัยเพาเวอร์ เบรกแอนตี้ล็อก)
9)
คุณสามารถยืดหยุ่นเรื่องราคาได้หรือไม่?
เมื่อคุณได้ลักษณะของรถที่ต้องการอย่างชัดเจนแล้วเริ่มตัดสินใจเลือกรถที่เหมาะสมจาก
1.
หาข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพ
และราคารถจากนิตยสารต่าง ๆ
2.
ตัดสินใจจากลักษณะเฉพาะ และทำการเปรียบเทียบ เช่น
** ความปลอดภัย
** การควบคุมและการทำงาน
**
ความสะดวกสบายและความกว้างขวาง
** ความประหยัด
** ความน่าเชื่อถือจากโฆษณา
** ประโยชน์ใช้สอย
3.
เลือกหนึ่งหรือสองแบบ
จากลักษณะเฉพาะทั้งหมดที่ตรงกับความต้องการของคุณ
ควรซื้อรถใหม่หรือรถใช้แล้ว?
แบบไหนที่เหมาะสมกับคุณ?
รายละเอียดข้างล่างเป็นข้อเปรียบเทียบระหว่างรถใหม่และรถเก่า เพื่อช่วยคุณในการตัดสินใจ
รถใหม่
ข้อดี
1.
คุณสามารถเลือกสี
การตกแต่ง และรูปแบบได้ตามต้องการ
2.
น่าวางใจและมีประกันภัยคุ้มครอง
3.
สภาพและราคาง่ายต่อการตัดสินใจ
4.
ผู้ขายจะมีการจัดหาสถาบันทางการเงิน
ซึ่งดอกเบี้ยถูกกว่าคุณหาเอง
หรือบางยี่ห้ออาจไม่เสียดอกเบี้ยเลย
5.
มีประกันหลังการขาย
และบริการจากผู้ชำนาญงาน
ข้อเสีย
1.
รถใหม่จะมีค่าเสื่อมราคา 50 เปอร์เซ็นต์ใน
3 ปีแรก
2.
ราคาสูง
รถที่ใช้แล้ว
ข้อดี
1.
ราคาถูกกว่ามาก
2.
ไม่มีค่าเสื่อมราคา
เพราะค่าเสื่อมราคาจะอยู่ที่ผู้ซื้อเดิมแล้ว
ข้อเสีย
1.
สภาพของรถ
และราคามักไม่เหมาะสมกัน
2.
ความน่าไว้วางใจยังเป็นปัญหา
3.
มีข้อจำกัดในทางเลือกเกี่ยวกับสี
การตกแต่งและรูปแบบ
4.
ไม่มีใบรับประกัน
5.
ดอกเบี้ยสูงกว่าซื้อรถใหม่
ผู้ขายมีเคล็ดลับในการขายรถอย่างไร?
ผู้ขายรถใหม่
และรถใช้แล้วจะมีแนวทางการขายที่คล้ายคลึงกัน แต่วิธีลงทุนในการจัดซื้อและค่าใช้จ่ายต่างกัน
ๆ ผู้ขายรถใหม่จะลงทุนโดยการซื้อรถใหม่จากผู้ผลิตด้วยราคามาตรฐาน
ถ้าการขายล้าหลังผู้ผลิตซึ่งในการสนับสนุนทั้งกับผู้ขายและลูกค้า จะรณรงค์และโฆษณาเกี่ยวกับสมรรถนะของรถต่อสาธารณชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง รวมถึงมีการลดราคา มีของแถม
และเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง
เพื่อให้ผู้ผลิตและบริษัทตัวแทนสามารถขายรถได้มากขึ้น เช่น
ผู้ผลิตจะมีการเพิ่มกำไรและการกระตุ้นเปอร์เซ็นต์รายได้ให้กับเซลแมน โยไม่เพิ่มราคารถ
สำหรับรถใช้แล้ว ผู้ขายจะมีอิสระในการขาย ไม่มีการตบตาจากเทคนิคการรณรงค์หรือเทคนิคกำไร
แต่ให้ระวังผู้ขายบางประเภทที่ใช้เทคนิคการพรรณนาเกินจริง เพื่อดึงดูดความสนใจ “ เราได้กำไรจากรถตอนเราซื้อ
ไม่ได้ทำกำไรตอนเราขาย “ เพราะถ้าเราซื้อรถในราคาที่เหมาะสมหรือซื้อได้ถูก
เราจะสามารถขายได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเราขายรถในราคาที่เหมาะสม
รายละเอียดข้างล่างนี้ เป็นเคล็ดลับที่ผู้ขายนิยมใช้
โดยแต่ละข้อเป็นคำแนะนำและวิธีแก้ซึ่งเหมาะสมที่สุด
เคล็ดลับ -
จากค่าเฉลี่ย เซลแมนขายรถ ชอบคุยกับคุณเป็นเวลานานๆ เพื่อให้คุณมีเวลาเปรียบเทียบร้านค้าได้น้อยลง
วิธีแก้ -
อย่ารีบร้อน ถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการ ให้ออกไปหาร้านใหม่
เคล็ดลับ -
เซลแมนย่อมมีความสามารถในการโน้มน้าว
ให้คุณรู้สึกต้องการรถที่เขาแนะนำได้ไม่ยาก
วิธีแก้ -
อย่าตกหลุมพราง
แม้คุณจะรู้สึกว่าต้องการรถคันนั้นมาก
อย่าพึ่งบอกให้เซลแมนรู้
ให้ออกจากร้านนั้นเพื่อใช้เวลาคิดประมาณ
48 ชั่วโมง ก่อนเซ็นสัญญาซื้อ
เคล็ดลับ -
เซลแมนขายรถบางคนมีความชำนาญมาก
คุณจะรู้สึกสะดวกสบาย
และไว้วางใจในคำพูดของเขา
วิธีแก้ -
อย่าลืมว่าเขาคือเซแมนที่มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือหาเงิน ( จากคุณ )
ถึงเขาจะเป็นเซลแมนที่ดี
แต่นั่นคือหน้าที่ของเขาคุณควรเพียงมองหาสิ่งที่ต้องการ
เคล็ดลับ
-
ทันทีที่คุณเดินเข้าไปในร้าน
งานของเซลแมนคือการขายรถให้คุณในราคาสูงที่สุดที่จะทำได้เพราะหัวใจสำคัญของเซลแมน คือกำไรและคอมมิชชั่น ( เซลแมนส่วนมากทำงานแลกกับค่าคอมมิชชั่น )
วิธีแก้ -
คุณจำเป็นต้องทำการบ้าน
รู้ราคารถและตัดสินใจก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้าน อย่าซื้อก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาทำการเปรียบเทียบใช้เงินของคุณให้คุมค่าที่สุด
เคล็ดลับ -
เซลแมนยืนยันที่จะไม่ลดราคา
วิธีแก้ -
ไปที่อื่น หัวเราะและเดินออกไป
เคล็ดลับ -
เซลแมนยืนยันว่านั่นคือราคาพิเศษแล้ว
วิธีแก้ -
ถ้าคุณพบการยืนยันเช่นนี้
อย่าเชื้อง่าย ๆ
พิจารณาว่าเซลแมนโกหกหรือไม่? กลับมาคิดก่อน
เคล็ดลับ -
เซลแมน ยืนยันว่า
ราคาที่เสนอให้คุณไม่เคยมีใครได้
หรืออื่น ๆ
วิธีแก้ -
อย่าเชื่อ
แน่วแน่กับความต้องการของคุณ
เคล็ดลับ -
ผู้ขายรถที่มีประสบประการเจรจาซื้อขายรถถี่กว่า 5,000 ครั้งในแต่ละปี หรือมากกว่านั้น พวกเขาเป็นมือโปร
วิธีแก้ -
ไปจากคนขายพวกนี้
พวกเขาแค่ใช้สองสามเกมในการเจรจาซื้อขายก็สามารถมัดคุณอยู่มัดคุณมองหา คนขายที่ยังเด็กอยู่ พวกเขาจะมีประสบการณ์น้อย และอยากขายได้มากกว่า แต่อย่าประมาท เพราะเซลแมน
เหล่านี้จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า
1
สัปดาห์ในการอบรมเทคนิคการขายเช่นกัน
เคล็ดลับ -
การซื้อรถในเวลากลางคืน
หรือในวันหยุดจะเป็นเวลาดีที่สุดของผู้ขาย
วิธีแก้ - เลือกซื้อรถระหว่างวันหยุด หรือวันสิ้นเดือน เพราะผู้ขายจะยอมต่อรอง เพื่อเพิ่มยอดขาย ในเดือนนั้น
เคล็ดลับ -
เซลแมนจะกลัวการเดินออกจากร้านของคุณมาก
ดังนั้นพวกเขาจะขอที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และรายละเอียดที่สามารถติดต่อคุณได้ เพื่อไม่ให้สูญเสียลูกค้า
วิธีแก้ -
คุณจะเริ่มควบคุมราคาได้ในขั้นแรก
การที่เซลแมนทำเช่นนี้
เมื่อคุณเริ่มเดินออกจากร้าน
เป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยมของคุณ
ดังนั้นถ้าคุณไม่พอใจราคาที่เขาเสนอ
เดินออกจากร้านมาเสีย
เคล็ดลับ -
ลูกค้าส่วนใหญ่รู้ดีว่า
การเซ็นสัญญาในข้อตกลงที่ยังไม่พอใจทั้งหมด คือการตาบอดในแง่กฏหมาย แต่ด้วยความสามารถในการโน้มน้าวของเซลแมน เขากลับทำในส่งที่ตรงกันข้ามกับความตั้งใจ
วิธีแก้ -
ก่อนเซ็นสัญญา
ให้คุณตรวจดูรายละเอียดทั้งหมด
ตรวจดูกำหนดการจ่ายเงิน
และค่าใช้จ่ายที่คุณต้องเสียโดยละเอียด
นึกถึงตอนจ่ายเงินไว้ให้ดี
การเจรจาต่อรองที่คุณควรและไม่ควรทำ
ด้วยความพยายาม
คุณจะพบว่าการเจรจาซื้อขายให้ได้กำไรเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด และเมื่อคุณเริ่มป้องกันตัวเองจากการเอารัดเอาเปรียบได้ทักษะในการซื้อขายที่สัมฤทธิ์ผลจะเป็นของคุณ แม้ว่าคุณจะไม่เคยมีโอกาสเรียนรู้มาก่อน แต่คุณสามารถเริ่มต้นได้จากข้อสังเกตเหล่านี้
ทำ - หาราคาที่แน่นอน ก่อนตกลงซื้อขายกับคนขาย
ทำ - ศึกษารถแบบต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบราคา
ทำ - ตัดสินใจก่อนจะทำการเจรจาซื้อขาย
อย่าทำ - ยอมรับราคาที่สูงกว่าตลาดเพราะอยากได้รถเร็ว ๆ
ทำ - ตัดสินใจขั้นแรก 20
เปอร์เซ็นต์ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด
ทำ - ยืนยันความต้องการของคุณ
อย่าทำ - แสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าในรถคันใดคันหนึ่ง
ทำ - เตรียมที่จะเดินออก เมื่อคุณรู้สึกอึดอัดในการตัดสินใจ เพื่อรักษาทางเลือกเดิมไว้ และป้องกันตัวเองจากโน้มน้าวของคนขาย
อย่าทำ - อย่าให้เซลแมนควบคุม หรือทำให้คุณพอใจมากเกินไป
ทำ - ถ้าเซลแมนซักถามคุณมากเกินไป ตอบคำถามด้วยการย้อนถาม
ทำ - ตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาอย่างรอบคอบก่อนตกลงใจซื้อ
ทำ -
แสดงให้เขารู้หากพบข้อบกพร่องในการทำงานหรือปัญหาของผู้ขาย
ทำ - ตัดสินใจในส่วนสุดท้าย เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว
อย่าทำ - อย่าคุยกับเซลแมนเพียงคนเดียวมากกว่า 2
ครั้ง
ทำ - บอกถึงทุกสิ่งที่คุณต้องการ ก่อนเซ็นชื่อ
ทำ - ทำให้เซลแมนเชื่อว่าเขาจะได้เงินจากการค้า หากยอมรับราคาที่คุณต้องการ บอกถึงราคาที่คุณจ่ายได้
ทำ - ชวนเพื่อน
หรือคนรู้จักที่มีประสบการณ์ไปให้
คำแนะนำในการซื้อรถ
หรือการเจรจาต่อรองด้วย
หลักการสำหรับคุณในการเจรจาซื้อขาย
คุณควรหลีกเลี่ยงการเจรจาต่อรองที่นานเกินไป ผู้ขายจำนวนมากจะยอมรับข้อต่อรองของลูกค้า เพราะไม่ต้องการสูญเสียลูกค้าให้ร้านอื่น เช่นหลังจากเลือกและลองขับรถดูแล้วถ้าคุณพอใจ สิ่งที่คุณควรพูดคือ
“
ฉันชอบรถคันนี้มากและอยากได้ด้วย
ถ้าได้ราคาที่สามารถจ่ายได้ก็จะซื้อไว้วันนี้เลย แต่ถ้าไม่ได้ราคาที่ต่อรองก็คงต้องยอมปล่อยมันไป
เพราะฉันคิดว่าราคาที่บอกเป็นราคาที่ยุติธรรมแล้ว
ฉันจะลองไปร้านอื่นดูเผื่อได้รถแบบเดียวกันและถ้าเป็นราคาที่พอรับได้ ก็คงพอใจซื้อที่นั่นเลย “
ด้วยประโยคนี้ทำนองนี้ คุณจะได้รับสิ่งที่ต้องการตัดบทสั้น ๆ ด้วยประโยคที่สามารถโน้มน้าวผู้ขายได้
จากนั้นพยายามล่อใจพวกเขาด้วยกลวิธีการเจรจาต่อรอง แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ถ้าผู้ขายตกลง
หลังจ่ายเงินแล้วควรตรวจแบบและรุ่นในใบส่งของให้ละเอียด
เพื่อแน่ใจว่าผู้ขายไม่ได้แสดงรถคันนั้นแต่ขายรถอีกคันหนึ่งให้ ซึ่งจะกลายเป็นการขาดทุนจากความเลินเล่อของคุณเอง
แบบของการชำระเงิน:
เป็นแบบที่
เหมาะสมกับคุณหรือไม่
แปดในสิบของผู้ซื้อรถใหม่จะใช้ระบบเงินผ่อนจากผู้ขาย
การจ่ายเงินระบบเงินผ่อนไม่ใช่ระบบที่เหมาะสมสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตามถ้าคุณเพิ่งเริ่มทำงาน หรือซื้อรถเป็นครั้งแรกไม่มีเงินสะสมมากพอ
ไม่ต้องการเสียเงินก้อนใหญ่หรือต้องการตัดภาระให้เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ต่ำ วิธีเงินผ่อนเป็นวิธีที่ดีที่สุดของคุณ แต่คุณควรเปรียบเทียบสถาบันการเงิน
และหาข้อมูลในการกู้เงินระหว่างธนาคารและบริษัทเงินกู้เสียก่อน อย่าเพิ่งเซ็นชื่อใด ๆ
ทั้งสิ้นเปรียบเทียบระยะเวลาแล้วจึงเลือกแหล่งเงินกู้ที่ดอกเบี้ยต่ำที่สุด
รูปแบบต่าง
ๆ ของระบบการเงิน
ก่อนตกลงทำสัญญากับผู้ขายในระบบเงินผ่อน
ให้เปรียบเทียบดอกเบี้ยและรายจ่ายที่คุณต้องเสียไปด้วย
บริษัทไฟแนทซ์
**
ดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารทั่วไป
**
จำนวนเงินขึ้นอยู่กับแบบ รุ่น และยี่ห้อของรถ
** ไม่เน้นการขายรถ
ธนาคาร
** ดอกเบี้ยถูกกว่าบริษัทไฟแนนท์ที่บริษัทขายรถจัดให้
** ดอกเบี้ยต่อเดือนต่ำ
การกู้ยืมทั่วไป
** ให้ราคาสูงกว่าธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์
**
ควรจะกู้ยืมเป็นเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
**
มีการจัดเตรียมแนวทางเลี่ยงภาษีไว้ให้คุณ
การกู้ยืมจากบริษัทประกันภัยที่คุณทำประกันภัยด้วย
**
ดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินทั้งหมด
**
สามารถจัดแผนการจ่ายเงินรายเดือนได้เอง
ทำอย่างไรคุณจึงจะไม่เสียเปรียบในการกู้ยืม
“ อย่าวิ่งเข้าหาการเสียเปรียบ ถาคุณสามารถเลือกสิ่งอื่นได้ “
Josh
Billing, 1919
คุณรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังเป็นหนี้มากกว่าราคารถจริง ถ้าซื้อรถในระบบเงินผ่อน?
บางครั้งคุณคุณจะเป็นหนี้มากกว่าราคาจริงถึง 2
เท่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ย และระยะเวลา
ในการจ่ายเงิน ทำอย่างไรให้คุณเป็นหนี้น้อยที่สุด?
เพื่อให้ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนสมดุล คุณควรคิดรายจ่ายไว้ตรงนี้
** คำนวณระยะเวลาจ่ายเงินและดอกเบี้ย ให้อยู่ในรูปสมดุล 100
เปอร์เซ็นต์
** สำรองรายได้ไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
** การใช้จ่ายเงินแบบประหยัดอย่างต่อเนื่อง จะทำให้คุณประหยัดเงินได้สำหรับรถคันต่อไป โดยไม่ต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น